วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

ถ้ำแม่อุสุ








          อยู่ในเขตวนอุทยานถ้ำแม่อุสุ หม่ 4 บ้านมีโนะโคะ อยู่ห่างจากที่ว่าการอ.ท่าสองยางไปทางเหนือประมาณ 12 กม. บนเส้นทางสายแม่สอด-แม่สะเรียง (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1085) เลยกม.ที่94 เล็กน้อย จะมีทางแยกซ้ายมือ เข้าถนนลูกรังอีกประมาณ 1 กม.

  ถ้ำแม่อุสุเป็นถ้ำที่กว้างใหญ่ มีเพดานถ้ำสูง อากาศโปร่งและไม่มืดนัก มีลำห้วยแม่อุสุไหลผ่าน เมื่อจะเข้าถ้ำนี้จะต้องเดินลุยน้ำห้วยแม่อุสุเข้าไป น้ำใสเย็นสูงเสมอเข่าและไหลแรง ถ้าในฤดูฝนระดับน้ำจะสูงมากภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อย สวยงามมาก ทางด้านตะวันตกมีโพรงหินขนาดใหญ่ ในตอนบ่ายจะมีแสงแดดส่องเข้ามาเป็นลำ ทำให้ถ้ำดูสวยงามยิ่งขึ้น ทางเดินในถ้ำไม่ลำบากนัก แม้ว่าจะต้องปีนขึ้นไปบนโขดหินก้อนใหญ่ บ้างก็ตาม ทางไม่ลื่นและยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไรก็ยิ่งสวยงามมากขึ้น หากมีเวลาจะปีนทะลุโพรงหินนั้นขึ้นไปอีกก็ยังได้ เมื่อเดินเข้าไปในถ้ำสักระยะหนึ่งแล้วหันกลับมาดูทางเข้า จะเห็นภาพลำห้วยที่ไหลคดเคี้ยวออกจากถ้ำที่มืด ไปสู่ปากถ้ำที่สว่างและมีแนวหลังเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวสวยงามมาก

แม่น้ำเมย







                       (พม่าเรียกแม่น้ำต่องยิน) จากตัวอำเภอแม่สอดไปทางตะวันตกตามทางหลวงหมายเลข 105 ประมาณ 6 กม. สุดเขตแดนไทยจะถึงแม่น้ำเมย ซึ่งเป็นเส้นกั้นเขตแดนไทยกับพม่า แม่น้ำสายนี้น้ำไหลขึ้นมิได้ไหลล่องเช่นแม่น้ำโดยทั่วไป แม่น้ำเมยมีต้นน้ำอยู่ที่ตำบลพบพระ อำเภอแม่สอด แล้วไหลผ่านอำเภอแม่ระมาด ท่าสองยาง ตลอดถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอนบรรจบกับแม่น้ำสาละวินแล้วไหลเข้าในเขตพม่าลงอ่าวมะตะบัน น้ำในลำแม่น้ำเมยจะมีน้อยมากในฤดูร้อน

วัดชุมพลคีรี






เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ภายในประดิษฐานเจดีย์สร้างใหม่ซึ่งจำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวดากองของพม่าภายในโบสถ์ประดิษฐาน พระพุทธรูปประธานปางมารวิชัย ส่วนในวิหารเป็นที่เก็บกลองโบราณอายุกว่า 200 ปี
 
ที่ตั้ง ถ. อินทรคีรี อ. แม่สอด
รถยนส่วนตัวจาก อ.เมือง ใช้ทางหลวงหมายเลข 105 เมื่อถึงวงเวียนเข้าตัวเมืองแม่สอด ให้ตรงเข้า ถ.อินทรคีรี จนถึงสามแยกให้เลี้ยวซ้ายเข้า ถ.ประสาทวิถี (บังคับเดินรถทางเดียวจากนั้นใช้ ถ.ประสาทวิถีไปทางวัดอรัญญเขต เมื่อถึงวัดอรัญญเขตให้กลับรถเข้า ถ.อินทรคีรีอีกครั้ง แล้วตรงไปวัดอยู่ทางซ้ายมือ เยี้องกับ ธ.นครหลวงไทย
รถรับจ้าง เหมารถมอเตอร์ไซค์รับจ้างจาก อ.แม่สอด

วัดมณีไพรสณฑ์





                 อยู่ในตลาดแม่สอด วัดนี้มีเจดีย์วิหารสัมพุทเธ ซึ่งมีลักษณะแปลก คือ บนองค์เจดีย์มีเจดีย์เล็กๆ ล้อมรอบถึง 233 องค์ และมีพระพุทธรูปบรรจุอยู่ถึง 512,028 องค์ นอกจากนี้ภายในวัดยังมี โบสถ์เก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ที่บริเวณหน้าบันและหลังคามีลายไม้ฉลุสวยงาม และบริเวณโดยรอบวัดมีซุ้มและศาลาประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ เช่น หลวงพ่อสังกัจจาย พระพุทธรูปปูนปั้นปางพุทธไสยาสน์ เป็นต้น

ศาลเจ้าพ่อขุนสามชน





                    อยู่ทางขวามือริมทางสายตาก-แม่สอด ตรงหลักกม.ที่ ๗๑-๗๒ เป็นศาลเจ้าริมทางลักษณะเดียวกับศาลเจ้าพ่อพะวอศาลนี้เพิ่งสร้างเสร็จ และทำพิธีเปิดเมื่อปลายปี 2523 เหตุที่สร้างศาลนี้เล่ากันว่ามีคหบดีผู้หนึ่งเจ็บป่วยด้วยโรคอัมพาตมาช้านานแล้วได้ฝันว่ามีผู้มาบอกให้สร้างศาลเจ้าพ่อขุนสามชนขึ้นตรงบริเวณที่เป็นศาลปัจจุบัน คหบดีผู้นั้นจึงสร้างศาลขึ้นถวายเรียกว่าศาลเจ้าพ่อขุนสามชน นับแต่นั้นมาอาการของคหบดีผู้นั้นก็เป็นปกติ ชาวบ้านจึงให้ความเคารพนับถือศาลนี้มาก

ศาลหลักเมืองสี่มหาราช



                              ตั้งอยู่เชิงสะพานกิตติขจร ก่อนเข้าตัวเมืองตาก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เมืองตากเป็นเมืองเก่ามีมาก่อนสมัยกรุงสุโขทัย เป็นเมืองที่มีพระมหาราชเจ้าในอดีตได้เสด็จมาชุมนุมกองทัพที่เมืองตากถึง 4 พระองค์ คือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงชนช้างกับขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประกาศอิสรภาพ ณ เมืองแกรง แล้วยกทัพกลับราชอาณาจักรไทย โดยเสด็จผ่านดินแดนเมืองตากเป็นแห่งแรก สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงนำทัพไปตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ และได้สร้างวัดพระนารายณ์ ปัจจุบันอยู่ที่เชิงสะพานกิตติขจร และ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เคยได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองตากเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของอดีตมหาราช ทั้งสี่พระองค์ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวจังหวัดตาก จึงได้จัดสร้างศาลหลักเมืองสี่มหาราชขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2535

วัดสีตลาราม






ด้เข้าหุ้นส่วนค้าขายกับพ่อค้าจีนอีกสองคนชื่อ "จีนบุญเย็น" และ "จีนทองอยู่" ต่อมาได้เข้าเกี่ยวพันกับระบบราชการไทยกล่าวคือ "จีนบุญเย็น" ได้รับแต่ตั้งเป็น "หลวงนราพิทักษ์" ปลัดฝ่ายจีนเมืองตาก แล้วได้รับแต่งตั้งให้เป็น "หลวงจิตรจำนงค์วานิช" สังกัดกรมท่าซ้าย ส่วนจีนทองอยู่ได้เป็นหลวงบริรักษ์ประชากรกรมการพิเศษเมืองตาก อากรเต็งและหุ้นส่วนทั้งสองใช้ยี่ห้อการค้าว่า "กิมเซ่งหลี" ห้างกิมเซ่งหลีได้เข้ารับช่วงผูกขาดการจัดเก็บภาษีอาการ ที่เมืองเชียงใหม่จึงได้นำพวกคนจีนเข้ามาอยู่ละแวกบ้านนี้ และได้แต่งงานกับผู้หญิงชาวเมืองตากชื่อ "นางก้อนทอง" มีบุตรชายหนึ่งคนและตั้งบ้านเรือนทำการค้าขายขยายวงขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 5 "จีนเต็ง" ได้มอบหมายให้ "หลวงบริรักษ์ประชากร" (จีนทองอยู่) เป็นผู้จัดเก็บภาษีฝิ่น อากรสุรา บ่อนเบี้ย และหวย ก.ข. จนกระทั่ง พ.ศ. 2452 รัฐบาลเริ่มเข้ามาจัดเก็บเอง ภายหลังละแวกหมู่บ้านนี้จึงมีแต่ลูกหลานจีนดำเนินการค้าขาย ปลูกบ้าน ร้านค้า เริ่มมีถนนหนทางแต่เป็นเพียงทางเดินเท้า ร้านค้าจะมีของขายทุกอย่าง ในซอยตรอกบ้านจีนจะมุงหลังคาบ้านชนกัน จึงเป็นท่ร่มใช้เดินถึงกันได้ตลอด มีร้านขายถ้วยชาม ร้านผ้า ร้านหนังสือเรียน ร้านเครื่องอัฐบริขารในการบวชพระ สถานที่ควรพูดถึงในสมัยนั้น คือ สะพานทองข้ามปากคลองน้อยซึ่ง "คุณย่าทอง ทองมา" เป็นผู้สร้างและม่เสาโทรเลขซึ่งชาวบ้านมักจะเรียกว่า เสาสูง ต่อมามีการปกครองในระบอบประขาธิไตย "นายหมัง สายชุ่มอินทร์" ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรคนแรก ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ในละแวกนั้น ตรอกบ้านจีนในสมัยนั้นมี 3 หมู่บ้าน หมู่บ้านเสาสูง หมู่บ้านปากครองน้อย หมู่บ้านบ้านจีน ต่อมาปี 2495 ทางเทศบาลได้รื้อสะพานทองและถมเป็นถนน เริ่มมีรถยนต์ใช้และหมู่บ้านก็เริ่มกั้นเขตแดนล้อมรั้ว ปี 2497 มีรถยนต์เล็กๆ วิ่งเข้าออกได้ ตรอกบ้านจีนเริ่มซบเซาลงหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี 2484 ร้านค้าเปิดอพยพไปอยู่ที่อื่นเมื่อ สงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง การค้าขายจึงได้ขยายขึ้นไปทางทิศเหนือ ปัจจุบันบ้านจีนจึงเหลือแต่บ้านเก่าๆ ซึ่งยังคงลักษณะของสถาปัตยกรรมเดิมไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ เหมาะสำหรับเดินทางเที่ยวชมสภาพบ้านเรือนโดยรอบและวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชุมชนตรอกบ้านจีน